แม่ลูก 4 DNA ลูกทั้ง 4 คนไม่ตรงกับเธอ แต่ไปตรงกับฝาแฝดของเธอ

เหตการณ์ บุคคล เรื่องเล่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
admin
Administrator
Administrator
โพสต์: 13796
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. 21 พ.ค. 2015 12:14 pm
กลุ่ม: ผู้ดูแลระบบ

แม่ลูก 4 DNA ลูกทั้ง 4 คนไม่ตรงกับเธอ แต่ไปตรงกับฝาแฝดของเธอ

โพสต์โดย admin » อาทิตย์ 29 มี.ค. 2020 9:18 am

Good 2 Share
· 23 มีนาคม ·

ลิเดีย แฟร์ไชลด์ คุณแม่ของลูก ๆ ทั้ง 3 คน ในวัย 26 ปี เธอว่างงาน ดำรงชีพได้ด้วยเงินสวัสดิการรัฐ ที่เธอรับจากกระทรวงสังคมสงเคราะห์ ประจำรัฐวอชิงตัน ซึ่งเธอก็ดำเนินชีวิตเช่นนี้มายาวนาน จนมาถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2006 เธอได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่กระทรวงให้ไปพบเป็นการเร่งด่วน เธอก็คิดว่าเป็นระเบียบการปกติที่เธอต้องเข้าพบเจ้าหน้าที่สวัสดิการสังคม แต่เมื่อไปถึงเธอกลับตกเป็น "ผู้ต้องสงสัย" ในคดีฉ้อฉลหลอกเบิกเงินจากสวัสดิการรัฐ
90622716_136775554519346_1257746868729806848_o.jpg
90622716_136775554519346_1257746868729806848_o.jpg (152.11 KiB) เปิดดู 1016 ครั้ง

⦿ กลายเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีที่ไม่ได้กระทำ
"พวกเขาพาฉันเข้าไปในห้องสอบสวน พอฉันนั่งลง พวกเขาก็ออกไปนอกห้องแล้วปิดประตูทันที สักครู่พวกเขาก็กลับมาพร้อมกับยิงคำถามที่เจาะลึกอย่างเช่น คุณเป็นใคร?
ลิเดีย ย้อนเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง

ปัญหามันเริ่มมาจากการตรวจสอบ DNA พวกเขาถามคำถามเกี่ยวกับครอบครัวฉัน พ่อของลูก ๆ ฉัน กลับกลายเป็นว่า DNA ของทุกคนสามารถเชื่อมโยงกับเด็ก ๆ ได้ทั้งหมด แต่ยกเว้น DNA ของฉัน ที่ไม่สามารถระบุได้ว่าฉันคือแม่ผู้ให้กำเนิดเด็ก ๆ ทั้ง 3

ลิเดียมั่นใจสุด ๆ เพราะเธอตั้งท้องลูก ๆ ทั้ง 3 และคลอดออกมาเอง การทดสอบ DNA ต้องมีเรื่องผิดพลาดอย่างแน่นอน แต่เจ้าหน้าที่ก็ยืนยันเสียงแข็ง
"ไม่มีทาง DNA ไม่เคยผิดพลาด และมันโกหกไม่ได้"

ลิเดียรีบปฏิเสธทันทีตอนที่เจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์เสนอตัวขอไปรับตัวลูก ๆ ของเธอมาดูแลในช่วงที่ทำการสอบสวน ตอนนี้สถานะเธอตกที่นั่งลำบาก ที่จะโดนข้อหาหนักในการแอบอ้างตัวตนว่าเป็นแม่เด็กเพื่อขอใช้สิทธิ์เบิกเงินสวัสดิการรัฐ สถานะเธอขณะนี้มีโอกาสสูงมากที่จะต้องเสียสิทธิ์ในการดูแลลูก ๆ ของเธอเอง ขณะที่เธอก้าวออกจากห้อง เจ้าหน้าที่ยังพูดไล่หลังมาอีกว่า

"รู้ไว้ด้วยนะ พวกเราสามารถไปรับตัวเด็ก ๆ มาตอนไหนก็ได้"

ประโยคนั้นยิ่งทำให้ลิเดียประสาทเสียมากขึ้นไปอีก เธอรู้แน่แก่ใจว่าเด็กทั้ง 3 เป็นลูกของเธอจริง ๆ เธอรีบกลับบ้านไปหาหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มความหนักแน่นในความเป็นแม่เด็ก เธอค้นภาพของเธอตอนที่ตั้งท้อง ใบสูติบัตรของลูก ๆ แต่ก็ยังมีพ่อและแม่ของลิเดียที่คอยให้กำลังใจในขณะนี้

"ตอนแรกที่ได้ยิน ฉันเองยังนึกว่าลิเดียล้อเล่นเลย แต่พอได้ยินเธอร้องไห้ ฉันจึงเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงแล้ว ฉันก็บอกกับลิเดียว่า มันต้องเป็นเรื่องผิดพลาดแน่ ๆ ฉันรู้ดีสิ ตอนที่เธอคลอดฉันก็อยู่ด้วย ฉันเห็นตอนที่เด็กออกมา ฉันยังได้อุ้มหลานฉันเองเลย"
แครอล แฟร์ไชลด์ แม่ของลิเดียออกตัวยืนยัน

"ความรู้สึกข้างในผมนี่แทบบ้าไปแล้ว ผมนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ลูกสาวผมไม่ใช่คนปั้นน้ำเป็นตัวนะ"
รอด แฟร์ไชลด์ ออกมายืนยันช่วยลูกสาวอีกคน

อีกคนที่ลิเดียนึกออกว่าน่าจะเป็นพยานที่มีน้ำหนักช่วยเหลือเธอได้อีกคนก็คือ ดร.เลียวนาร์ด ไดรช์บาช เขาเป็นคนทำคลอดให้กับลูกทั้ง 3 คนของลิเดีย และเขาก็ยินดีที่จะไปเป็นพยานในศาลให้ลิเดียด้วย
"ผมจะไปยืนยันกับศาลเองว่า เธอเป็นแม่ของเด็กทั้ง 3 คนนี้จริง แต่ผมก็ไม่รู้จริง ๆ นะว่าผล DNA มันผิดพลาดได้อย่างไร แต่ผมรู้ว่าเธอเป็นแม่ของลูก ๆ นี้จริง"
ดร.เลียวนาร์ด ยืนยันอีกคน

ต่อให้ทางลิเดียมีพยานที่น่าเชื่อถือกี่คนก็ตามแต่ ฝั่งตรงข้ามมีหลักฐานเพียงชิ้นเดียวที่ทั่วโลกต่างให้การยอมรับก็คือ ผลพิสูจน์ DNA ที่ศาลเองก็ให้น้ำหนักเชื่อมั่นมาทางนี้ และผล DNA ก็ชี้ชัดมาว่า ลิเดีย ไม่ใช่แม่ผู้ให้กำเนิดเด็กทั้ง 3 คน และเพื่อลบล้างความเป็นไปได้ที่อาจเกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์ ทางศาลได้มีคำสั่งให้มีการตรวจสอบ DNA อีกครั้ง และให้ใช้ห้องแล็บแห่งใหม่ในการตรวจสอบนี้

ลิเดียเล่าว่าช่วงที่เธอต้องรอคอยผล DNA จากห้องแล็บอีกครั้งนั้นมันเป็นการรอคอยที่สุดแสนทรมาน แต่เมื่อผลมาถึง ก็ไม่ยากเกินคาดเดา "เธอไม่ใช่แม่ผู้ให้กำเนิดของลูก ๆ ทั้ง 3"
ลิเดียเข่าอ่อน เมื่อรู้แก่ใจว่าเวลาที่เธอใกล้ที่จะต้องสูญเสียลูกใกล้เข้ามาแล้ว ผู้พิพากษามองหน้าเธอแล้วบอกให้เธอรีบจัดหาทนายซะ

⦿ การต่อสู้ในชั้นศาล

มันเหมือนการต่อสู้ที่มองไม่เห็นชัยชนะแล้วแม้แต่น้อย การต่อสู้ของหญิงว่างงาน ที่จะต้องต่อสู้กับหน่วยงานรัฐที่มีผล DNA ในมือ ไปติดต่อทนายรายได้ก็ล้วนแต่โดนปฏิเสธกลับมา

จนมาเจอกับ ทนาย อลัน ทินเดลล์ ที่ยอมรับว่าความให้ แต่ก่อนที่เขาจะตอบรับ อลันก็สัมภาษณ์ลิเดียอย่างหนักจนมั่นใจ
"เด็ก ๆ นี่ไม่ใช่ลูกของพี่สาวคุณใช่ไหม?" "ตกลงเด็ก ๆ นี่เป็นลูกของพี่ชายคุณหรือเปล่า?" "คุณยืนยันว่าไม่ได้ลักพาตัวลูกของใครมาจริง ๆ ใช่ไหม?"
อลัน เล่าว่าหลังจากซักถามและได้เห็นคำตอบจากลิเดียด้วยน้ำเสียงที่เชื่อมั่น เขาก็พร้อมที่จะเชื่อเธอ

ในช่วงนั้นทั้งลิเดียและครอบครัว ก็ใช้ชีวิตอยู่บนความหวั่นผวา พวกเขาสะดุ้งทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเคาะประตู กลัวว่าเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์จะมารับตัวเด็ก ๆ ไป พวกเขาคิดแม้กระทั่งว่าจะเอาตัวเด็ก ๆ ไปซ่อนไว้

"ฉันได้รับหมายศาล แจ้งกำหนดที่ฉันต้องไปขึ้นศาล ฉันรู้แก่ใจแล้วว่าโอกาสนี้เขาอาจจะเอาตัวลูก ๆ ไปจากฉัน ท้องไส้ฉันเริ่มปั่นป่วน แล้วฉันก็ร้องไห้โฮออกมา ฉันโทรไปหาพ่อแม่เล่าให้พวกเขาฟัง ด้วยความกลัวแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ฉันก็ได้แต่กอดลูก ๆ ของฉันไว้"

"บนโต๊ะอาหารเย็น เห็นลูก ๆ นั่งกันพร้อมหน้า ฉันก็ปล่อยโฮออกมาอีก มันกลั้นไว้ไม่ได้ เด็ก ๆ ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็ได้แต่ถาม "แม่คร้าบเกิดอะไรขึ้นเหรอ" พวกเขาก็น่ารัก เข้ามากอดปลอบประโลมฉัน ฉันก็ไม่รู้จะบอกพวกเขาอย่างไรดี ในขณะที่ฉันเองยังไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตฉันเนี่ย"
ลิเดียเล่าความรู้สึกในวันที่มืดมน

เธอมาถึงจุดที่ยากเย็นสุดในชีวิต เมื่อเธอต้องขึ้นศาลเผชิญกับคู่ต่อสู้ ที่อีกฝ่ายหนึ่งคือหน่วยงานรัฐบาล ที่มีข้อหาพร้อมเอาผิดว่าเธอเป็นผู้ต้องหาฉ้อฉล พร้อมกับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์

⦿ ความหวังเริ่มปรากฏ

แต่แล้วในวันที่มืดมนสุดในชีวิต พลันลิเดียก็ได้ยินเรื่องราวจากต่างรัฐ ที่เหมือนเป็นแสงสว่างเล็ก ๆ จากปลายอุโมงค์ที่มืดมน มีเรื่องราวของหญิงรายหนึ่งที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเธอ DNA ของเธอไม่ตรงกับลูก ๆ ของเธอ แต่คดีของหญิงรายนั้นได้รับการสะสางไปแล้ว
หญิงรายนี้ชื่อ คาเร็น คีแกน เธออยู่ในรัฐบอสตัน เรื่องราวของเธอเริ่มจากตอนที่เธอไปตรวจร่างกายเพื่อเตรียมรับการปลูกถ่ายไต แล้วแพทย์ต้องขอตรวจเลือดทุกคนในครอบครัวเธอ เพื่อตรวจหาความเข้ากันได้ แต่กลับพบว่า DNA ของเธอไม่ตรงกับลูกของเธอเอง ยังดีที่กรณีของ คาเร็น นั้นเธอมีงานมีการทำ ไม่ต้องพึ่งพาเงินสวัสดิการรัฐ เคสของเธอจึงจบอยู่แค่ขั้นตอนไต่สวนหาสาเหตุทางการแพทย์เท่านั้น

แพทย์เองก็ยอมรับว่านี่เป็นเรื่องราวแปลกประหลาดมาก เป็นความลึกลับทางการแพทย์ซึ่งพวกเขาก็พยายามค้นคว้าหาคำตอบ เพราะผลการตรวจสอบ DNA ออกมาขัดกับหลักการทางการแพทย์ ลูก ๆ จะต้องมี DNA โค้ดที่สืบทอดโดยตรงมาจากพ่อแม่ แล้วเรื่องนี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรกัน

ดร.ลิน อุห์ล แพทย์ผู้รับผิดชอบเคสของคาเร็น พยายามหาคำตอบด้วยการดึงตัวอย่าง DNA จากหลาย ๆ ส่วนในร่างกายของเธอมาตรวจสอบ ดึงจากเลือด จากเส้นผม จากในช่องปาก แต่แล้วไม่ว่าส่วนไหนก็ไม่ตรงกับ DNA ของลูกเธอ เป็นช่วงนี้ล่ะที่คาเร็นนึกออกว่าเธอเคยตัดต่อมไทรอยด์เมื่อไม่นานมานี้ หมอลินก็รีบติดต่อไปยังโรงพยาบาลที่ผ่าต่อมไทรอยด์ของคาเร็น โชคดีที่เนื้อเยื่อบางส่วนจากต่อมไทรอยด์ของคาเร็น ยังถูกเก็บไว้ แล้วก็เป็นเพราะไอ้ต่อมไทรอยด์ชิ้นนี้ล่ะ ที่คลี่คลายปริศนาได้ทั้งหมด

⦿ DNA ของฝาแฝดฝังซ้อนอยู่ในร่างของเธอ

"ในเลือดของคาเร็น มี DNA ของเธอ แต่ในเนื้อเยื่อบางส่วนของเธอนั้น เป็นส่วนผสมของ 2 ตัวตน" ดร.ลิน อธิบาย
มันเป็นกรณีที่เกิดขึ้นได้ยากมาก ทั้งโลกเรา เคยบันทึกไว้ว่ามีแบบนี้แค่ 30 ราย มีศัพท์เรียกกรณีแบบนี้ว่า "chimerism" อ้างอิงมาจากตำนานกรีก มาจากคำว่า "chimera" หมายความว่า สัตว์ประหลาดที่มีส่วนประกอบของ แพะ, สิงโต และ งู
ความหมายในทางชีววิทยาหมายถึง อวัยวะในร่างกายที่มีเซลส์ที่แตกต่างกันทางพันธุกรรมอย่างน้อย 2 ตัว ประกอบรวมอยู่ด้วยกัน อธิบายที่มาของการเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ ต้องย้อนไปตั้งแต่ขั้นตอนปฏิสนธิ ไข่ในมดลูก 2 ใบ ได้รับการปฏิสนธิ แล้วไข่สองใบนี้เกิดการรวมตัวกันกลายเป็นตัวอ่อนในครรภ์เพียงคนเดียว แต่เด็กคนนี้กลับแบกรับ 2 ยีนที่ต่างกันไว้ในร่างเดียวกัน ทำให้เขามี DNA ที่ต่างกันในคนเดียวกัน

นั่นคือทั้ง คาเร็น คีแกน และ ลิเดีย แฟร์ไชลด์ นั้นมีร่างของคู่แฝดที่ฝังอยู่ในร่างกายของเธอเอง แม้คู่แฝดนี้จะไม่ได้เกิดมามีตัวตน แต่เธอแฝงร่างอยู่ในลักษณะของโค้ด DNA ดร.ลิน พยายามอธิบายกับคาเร็นว่าร่างของเธอนั่นแหละที่เธอใช้ร่วมกับคู่แฝดของเธอเอง
"คุณจินตนาการไม่ออกหรอกว่าเรื่องพวกนี้มันเป็นไปได้อย่างไร"
คาเร็น คีแกน เล่าให้ฟังว่าเธอช็อกมากที่ได้ยินคำอธิบายจากหมอ

⦿ ได้ไม้เด็ดไปต่อสู้ในศาล

คดีที่คลี่คลายของ คาเร็น คีแกน ไม่เพียงแต่สร้างความโล่งใจให้ตัวเธอเองและครอบครัว แต่ยังเป็นแสงสว่างให้กับ ลิเดีย แฟร์ไชลด์ หญิงอีกรายที่กำลังระทมทุกข์เพราะหมดสิ้นหนทางอยู่ในอีกรัฐหนึ่ง ในขณะที่เธอกำลังรอหลักฐานอ้างอิงทางการแพทย์จากคาเร็น คีแกน ก็พอดีกับที่เธอถึงกำหนดคลอดลูกคนที่ 4 ด้วย เป็นการดีเลยที่เธอจะคลอดลูกคนนี้ให้ศาลดูเป็นการยืนยันกันชัด ๆ ไปเลย ทางศาลก็เอาจริงด้วย ส่งเจ้าหน้าที่ไปเป็นสักขีพยานถึงในห้องคลอดเลย พอเด็กคลอดออกมาเจ้าหน้าที่ก็เก็บตัวอย่างเลือดจากทารกและลิเดียเพื่อไปตรวจสอบ DNA ทันที แต่ผลก็ออกมาเช่นเคยว่า DNA ไม่ตรงกัน ผลทางวิทยาศาสตร์ยังคงยืนยันว่า ลิเดีย ไม่ใช่แม่ทางสายเลือดของทารก แถมยังตั้งข้อสงสัยอีกว่าที่เธอตั้งใจมีบุตรอีกคน ก็เพื่อขอรับเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมจากสังคมสงเคราะห์

แต่ทางทนายก็ไม่รอช้า เขาเอาบทความศึกษาจากกรณีของคาเร็น คีแกน ที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร New England Journal of Medicine มาศึกษาเพื่อจะใช้เป็นข้อมูลในชั้นศาล โชคดีอีกอย่างที่ หมอลิน อุห์ล ยินดีใช้ประสบการณ์จากที่เธอเจอมากับคาเร็น คีแกน มาช่วยตรวจสอบร่างกายของ ลิเดีย แฟร์ไชลด์ ว่าใช่กรณีเดียวกันหรือไม่
"ฉันติดต่อผู้พิพากษาขอให้เลื่อนการพิจารณาคดีออกไปก่อน รอจนกว่าผลการทดสอบจะออกมา"
หมอลิน อุห์ล กล่าว

แล้วผลทดสอบร่างกายของลิเดีย แฟร์ไชลด์ ก็ออกมาตามคาด เป็นกรณีเดียวกับ คาเร็น คีแกน มี DNA ของคู่แฝดฝังอยู่ในร่างกายของเธอ เพราะว่ามีเคสตัวอย่างก่อนหน้า และได้หมอลิน อุห์ล มาช่วยยืนยัน แม้เป็นเรื่องราวที่เหลือเชื่อ แต่สุดท้ายผู้พิพากษาก็ยอมรับว่าลิเดีย แฟร์ไชลด์ เป็นแม่ผู้่ให้กำเนิดบุตรทั้ง 4 จริง คดีนี้เป็นอันยกฟ้อง
"ฉันคงไม่ได้เป็นแม่ของลูก ๆ ฉันตามกฏหมาย ถ้าพวกเขาไม่ได้เจอเคสของคาเร็น คีแกน"

ใช่ครับ ถ้าโลกนี้ไม่มีวิทยาการทางการแพทย์ ก็จะไม่เจอเคสประหลาดที่ชื่อว่า "Chimera" แล้วลิเดีย แฟร์ไชลด์ ก็ต้องพรากจากลูกของเธอ ทั้งที่เธอเป็นผู้ตั้งท้องและคลอดออกมาเอง โลกของเรายังมีเรื่องประหลาดที่ไม่ได้รับการค้นพบอีกมาก

ชอบเรื่องของเรา กดไลก์ กดแชร์ ให้ด้วยนะครับ

#good2sharethailand #DNA #LydiaFairchild #karenkeegan #LynneUhl #alantindell



ย้อนกลับไปยัง

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: 1 และ บุคคลทั่วไป 0 ท่าน

cron