นึกแล้วไม่มีผิด…ว่าอเมริกาหาช่องทางพิมพ์เงินมาใช้……!!!

ภาพประจำตัวสมาชิก
admin
Administrator
Administrator
โพสต์: 13567
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. 21 พ.ค. 2015 12:14 pm
กลุ่ม: ผู้ดูแลระบบ

นึกแล้วไม่มีผิด…ว่าอเมริกาหาช่องทางพิมพ์เงินมาใช้……!!!

โพสต์โดย admin » จันทร์ 28 ก.พ. 2022 4:20 am

นึกแล้วไม่มีผิด…ว่าอเมริกาหาช่องทางพิมพ์เงินมาใช้……!!!
FB_IMG_1645996897169.jpg
FB_IMG_1645996897169.jpg (59.47 KiB) เปิดดู 327 ครั้ง
FB_IMG_1645996874226.jpg
FB_IMG_1645996874226.jpg (28.02 KiB) เปิดดู 327 ครั้ง
FB_IMG_1645996879975.jpg
FB_IMG_1645996879975.jpg (36.91 KiB) เปิดดู 327 ครั้ง
FB_IMG_1645996885076.jpg
FB_IMG_1645996885076.jpg (61.33 KiB) เปิดดู 327 ครั้ง
FB_IMG_1645996892116.jpg
FB_IMG_1645996892116.jpg (240.37 KiB) เปิดดู 327 ครั้ง
FB_IMG_1645996869003.jpg
FB_IMG_1645996869003.jpg (53.2 KiB) เปิดดู 327 ครั้ง
FB_IMG_1645996769307.jpg
FB_IMG_1645996769307.jpg (129.41 KiB) เปิดดู 327 ครั้ง

จากข่าวรัสเซีย - ยูเครน นั้น ดิฉันเคยเปรยๆเอาไว้ว่า ทุกครั้งที่มีพิษเศรษฐกิจเกิดขึ้นในโลก มันมีผลกระทบไปหมด แม้แต่อเมริกาที่ขยันหาเงินด้วยการค้าสงคราม ที่ระยะหลังๆมานี่ หลังจากซีเรีย ไม่ได้มีเหตุให้ก่อที่ไหน เงินทองออกจาะร่อยหรอ
เป้าหมายใหม่คือ ยุให้ยูเครนงัดข้อกับรัสเซีย ไปสร้างฝันว่า ไม่ต้องไปกลัวมัน เดี๋ยวจะส่งนาโต้ไปช่วย……
ผลพลอยได้คือ ทางอเมริกาจะได้พิมพ์เงินแจกเพื่อให้มาซื้ออาวุธของตัวเอง แบบอัฐยายซื้อขนมยาย……ที่เคยทำมาตลอดตั้งแต่ครั้งสงครามเวียดนาม

สิ่งที่เห็นในสื่อ…คือเสียงกระจองอแงในยูเครน ภาพพ่อต้องจากลูกไปสู้รบ ด้วย
ปืนยาวกระจอกๆกระบอกเดียว หรือ ประชาชนเข้าแถวเพื่อรับอาวุธแบบเดียวกัน มันค่อนข้างบาดในหัวใจคนดู และที่บาดไปยิ่งกว่า คนพวกนั้นเป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยรู้ฤทธิ์พิษสงของสงคราม หน้าตาเนือยๆ ท่าทางสรีระที่ดูไม่พร้อม
แน่นอนว่า……นี่คือ การโปรประกันดาของฝั่งยูเครนภายใต้การบริการจัดการของอเมริกา ที่จะได้ขอให้สภาคองเกรสปล่อยเงิน หกพันล้านเหรียญ เพื่อที่จะมาช่วยสนับสนุน เงินจำนวนนี้ได้เสนอไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ซึ่งมีรายละเอียดยิบว่า จะเป็นค่าเวชภัณฑ์เท่านั้นเท่านี้ ค่าอาวุธ และค่าเสบียง

แต่สิ่งที่ได้ในข่าวล่าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว คือทางสภาคองเกสอนุมัติให้เพียง 300 กว่าล้านเหรียญ ที่นับว่าเอามาซื้ออะไรก็ไม่พอ เงินจำนวนนี้เป็นแค่เงินเอามาล้างอายเพื่อซื้อหน้าคืน เพราะไปยุแยงเขาจนเกิดเรื่องขึ้นมา แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

กระดูกมันคนละเบอร์จริงๆ ปูตินไม่ใช่นักการเมืองธรรมดาที่จับฉลากได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีเสียเมื่อไหร่ เขาผ่านร้อนผ่านหนาวจากรัสเซียตั้งแต่ในสมัยที่มีครุสเชฟ (Nikita Khrushchev) เป็นประธานาธิบดีจนถึงยุคที่โซเวียตล่มสลายในรัฐบาลของนาย Mikhail Gorbachev
ที่ตอนนั้นที่เกิดการทำลายกำแพงเบอร์ลิน เดือน พฤศจิกายน ปี 1989 ที่ปูตินได้มียศเป็นพันตรีในหน่วย KGB ที่เมือง Dresden, East Germany (ในการแบ่งเขต ตะวันออกเป็นคอมมิวนิสต์)
ซึ่งเกิดการลุกฮือขับไล่คอมมิวนิสต์ได้เกิดขึ้น ประชาชนต่างพากันจงเกลียดจงชังฝ่ายแดง ถึงกับมีการเตรียมบุกเข้าทำลายศูนย์ปฏิบัติการ KGB ( และหน่วยตำรวจลับ Stasi) ที่ตั้งอยู่ที่เมือง Dresden
ปูตินและเจ้าหน้าที่ที่มีเพียงหยิบมือ ได้ขอรถถังไปยังมอสโคว์ เพื่อเข้ามาควบคุมสถานการณ์
แต่…คำตอบที่ได้คือ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ห้ามทำการรุนแรงใดๆ

ปูตินจึงต้องเผชิญหน้ากับฝูงชนด้วยมือเปล่า ที่บลัฟด้วยการขู่ว่า เจ้าหน้าที่ได้ประจำการที่บนอาคาร และพร้อมที่จะใช้อาวุธกับทุกคนที่ฝ่าฝืนเข้ามาในเขต…
ทั้งๆที่ เหล่าเจ้าหน้าที่กำลังเผาเอกสารกันมือเป็นระวิง เผากันจนเตาผิงระเบิด

เมื่อฝูงม็อบไม่กล้าใช้กำลัง สิ่งที่พวกเขาทำได้ คือ การด่าทอระบบคอมมิวนิสต์ พวกคอมมิวนิสต์อย่างบ้าคลั่ง จนมือขวาคนหนึ่งของปูตินถึงกับปลิดชีวิตตัวเอง

ปูตินและครอบครัว (ลุดมิลา ภรรยา และลูกสาว) กลับไปยังรัสเซีย เขาได้เกิดความมุ่งมั่นที่จะเข้าสู่การเมือง ติดสอยห้อยตามประธานาธิบดีเยลซิน (Boris Yeltsin) จนได้รับความไว้วางใจได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี
จากนั้น….ปูตินได้ทำการจัดระเบียบรัสเซียใหม่ โดยการกำจัดกลุ่มมาเฟียทุกกลุ่ม ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก หรือแม้จะหนีออกไปอยู่นอกประเทศ…ก็ยังมีการตามไปเก็บ ให้สมกับที่เป็น KGB เก่า (เรื่องนี้เคยเขียนไว้แล้ว ตื่นเต้นยังกับเจมส์ บอนด์ )
เขากอบกู้รัสเซียที่ผุพังเพราะสนิมเนื้อใน จนมาเป็นรัสเซียที่ทรงอิทธิพลอย่างที่เห็นในทุกวันนี้ ด้วยความสามารถล้วนๆ

***ขอเล่านิดนึงว่า ดิฉันได้ไปเยี่ยมชมเรือตัดน้ำแข็ง (ชื่อ Lenin) ด้วยระบบนิวเคลียร์ที่ Murmansk เมื่อครั้งไปเที่ยว Russia ต้องขอบอกว่า สุดทึ่ง เรือตัดน้ำแข็งด้วยนิวเคลียร์นี้เรือเดินสมุทร์ส่งสินค้าที่จะเดินทางแนวตัดข้ามขั้วโลกเหนือไปยังยุโรปในระยะเวลาไม่กี่วันจะเป็นเส้นทางสำหรับนักทัศนาจรในอนาคตด้วย ที่สามารถโบกมือทักทายหรือส่งอาหารให้กับหมีขาวได้ เรือเลนินที่ไปชมนั้น ได้ปลดระวางไปแล้ว แต่เป็นบรรพบุรุษของกองเรือตัดน้ำแข็งที่ตอนนี้มีเป็นฝูง..

แล้วมาดูเงิน สามร้อยล้านเหรียญที่อเมริกาหยิบยื่นมาให้ยูเครน…เลยเกิดความรู้สึกขำปนสมเพช อะไรก็ตามที่เป็นการลงทุนแล้วไม่เกิดผล…อเมริกาคงต้องเขียมๆหน่อย
ไม่ทุ่มเทอย่างอิรัก หรือ อาฟกานิสถาน
แถมไม่ได้ส่งตรง (เพราะไม่ใช่สมาชิกนาโต้)……แต่เป็นการไปพักไว้ที่โปแลนด์ เพื่อช่วยเหลือชาวยูเครนที่อพยพเข้ามา เจตนาเหมือนเป็นการพยุงเศรษฐกิจโปแลนด์ (อันนี้เบิกนาโต้ได้)
แต่เงินจำนวนนี้ถ้ามีศิลธรรมจริงๆ จะช่วยโรฮิงญาให้มีดินแดน มีที่ทำมาหากินได้อย่างสบายๆนับแสนๆคน

ส่วนที่ชัดเจนคือ…ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส ช่วยได้แค่ตีปีกด้วยลมปาก
ทางด้านปฎิบัติจริงคือ อังกฤษส่งทหารไปประจำที่โปแลนด์ ไม่ใช่เพราะอยากช่วยยูเครน แต่อ้างว่า กลัวรัสเซียจะรุกล้ำเข้ามา
ฝรั่งเศส……อ้อมแอ้มไม่เต็มปาก เพราะจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่ในเดือนเมษายนนี้…แต่ในฐานะเป็นเด็กในสังกัดของกลุ่ม Rothschild จึงต้องเป็นลูกคู่ของอเมริกาไปตามธรรมเนียม

ส่วนที่ขำกว่านั้น คือการออกข่าวว่า จะไม่ให้ปูตินเข้าอเมริกา และจะยึดทรัพย์ปูตินในอเมริกาทั้งหมด….พูดเหมือนว่าปูตินมีสมบัติที่อเมริกาหคือที่ไหนในยุโรปอย่างนั้นแหละ
ขอย้อนความจำหน่อยว่า….เมื่อสี่ปีก่อนที่กลุ่มทุน Rothschild ได้เข้าไปลงทุนทำธนาคารในรัสเซีย และเอาวิธีการแจกบัตรเครดิตพร้อมวงเงินอย่างที่ทำในอเมริกามาใช้ …
ปูตินไล่ตะเพิดให้ออกนอกประเทศ……จนเก็บออฟฟิศกันออกไปไม่ทัน เพราะเขาเกลียดวิธีการนี้
เขาพูดว่า “คนขี้โกงคิดครองโลกด้วย (การแจก) บัตรเครดิต แต่เราต้องรู้ทัน และจะไม่ตกเป็นเหยื่อของมนุษย์พวกนี้”

ดิฉันไม่ได้มาอวยปูตินเพราะอ่านหนังสือแค่ไม่กี่บรรทัดหรอกนะคะ แต่ที่ต้องให้เครดิตเขา เพราะผู้ชายคนนี้ทำทุกอย่างที่จะผดุงเกียรติศักดิ์ของชาติ เรื่องที่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี้
เป็นเรื่องจริงที่น่าจะมีคนเอาไปทำหนัง ตัวดิฉันเองก็อยากจะจั่วหัวเรื่องว่า…
“สู้กันยันไข่…ถึงยูเครน…”

แต่..แหม…มันจะเสียภาพลักษณ์ของสุภาพสตรีผู้งดงามไปด้วยกิริยา….5555555

ไข่ที่พูดถึงนี้ คือ ไข่ฟาแบร์เช่ ที่เคยเป็นสมบัติสิ่งสะสมแก่พระราชวงค์โรมานอฟ ที่ทำขึ้นโดยช่างทองหลวง Carl Faberge คนธรรมดาน้อยคนนักที่จะมีเครื่องเพชรทองของคาร์ลในความครอบครอง โดยเฉพาะ Easter Egg
แต่มีตระกูลหนึ่ง มีในครอบครองเพราะตอนนั้นตระกูลนี้คือ Rothschild ที่เป็นยิวมหาเศรษฐีแห่งยุโรปและรัสเซีย
ต่อมาลูกหลานทายาทก็กระจัดกระจายกันไปอยู่ตามประเทศต่างๆ
เมื่อถึงคราวที่ ***นาซีผงาดขึ้นมา การกำจัดยิวได้เกิดขึ้น จากมหาเศรษฐีก็ต้องลี้ภัย ที่ต้องแลกชีวิตด้วยทรัพย์สินที่มี ที่หนีไม่ทันก็ไปเข้าค่ายนรกก็มี (ถูกยึดทรัพย์สินด้วย)
***เรื่องนี้เคยเขียนไว้ในเรื่องไวน์นะคะ
Rothschild egg ก็ได้ถูกถ่ายเทไปด้วย จนมาโผล่ขึ้นในกลางกรุงลอนดอน ในการประมูลระดับช้างของ Christie’s ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2007
(เป็นเวลาเดียวกับที่ปูตินได้ไปพูดถึงการแทรกแซงของยูเครนโดยโลกตะวันตกที่กรุงเบอร์ลิน……และย้ำด้วยว่า….เขาจะขัดขวางทุกทางที่จะให้นาโต้มายืนจ่อที่หน้าบ้าน)

การประมูลสู้กับสุดฤทธิ์ระหว่างกลุ่มร็อธส์ชีลด์และนักสะสมชาวรัสเชี่ยน คือ นาย Alexander Ivanov ที่มีพิพิธภัณฑ์ส่วนตัว Russian National Museum ที่ชนะการประมูลด้วยราคา เก้าล้านปอนด์….!!!
ที่ถือว่าเป็นราคาที่แพงที่สุดนับตั้งแต่มีไข่ฟาแบร์เช่หลงมา ใบสุดท้ายที่ประมูลไปคือ 8 ล้านปอนด์(ในปี 2002)
แต่คราวนี้ รัสเซียทุ่มเต็มที่ เพราะต้องการหักหน้า หยามกลุ่มเจ้าของเดิม Rothschild
รัสเซียต้องการไข่ฟาแบร์เช่ใบนี้ จะต้องมาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ The Hermitage ที่กรุง Saint Petersburg ให้ได้….
เพียงแต่ขั้นตอนต้องมีการซิกแซกนิดหน่อย คือ ต้องผ่านตัวกลางที่เป็นเอกชน คือ นายอิวานอฟ มหาเศรษฐีนักสะสมงานศิลป ที่มีหุ้นส่วนคนสำคัญคือ Konstantin Goloshchapov ที่เป็นเพื่อนรักกับปูติน
หลังจากที่ประมูลได้ อิวานอฟ ได้นำไปโชว์ที่พิพิธภัณฑ์ส่วนตัวเขาที่ Baden-Baden

ในวันที่ 8 ธันวาคม 2014 Rothschild’s Egg ที่ตามโปรแกรมจะถูกนำเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ The Hermitage, Saint Petersburg โดยประธานาธิบดีปูตินเป็นประธานพิธีมอบ ในนามของผู้บริจาค Alexander Ivanov
คราวนี้..เกิดอาการตาสว่างไปตามๆกัน ว่า Alexander Ivanov ไม่ใช่แค่เป็น มหาเศรษฐีนักสะสมงานศิลปธรรมดา แต่…เป็นเงาของปูตินในการไล่ล่าหาสมบัติกลับคืนสู่ชาติด้วย.…

ทางฝ่าย Rothschild อกหักอย่างแรง เพราะหวังเสมอว่า สมบัติชิ้นนี้จะต้องกลับสู่ตลาดประมูล ไม่คิดว่าจะมีการตลบหลังเอาไปใส่ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ อันหมายถึง……หลุดลอยถาวร…จึงต้องหาเทคนิคทุกวิถีทางที่จะหยุดไม่ให้มีพิธีมอบ หรืออย่างน้อยก็เป็นการดิสเครดิต และยัดเยียดคดีให้กับอิวานอฟ โดยการผนึกกำลังทั้งเจ้าหน้าที่ศุลกากรอังกฤษ กับเยอรมัน เข้าบุกค้นในพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวของเขา ในวันที่ 1 ธันวาคมอ้างว่าเขายังไม่ได้เสียภาษีในสิ่งของที่ประมูลมาจากอังกฤษเมื่อสิบห้าปีก่อน
ข้าวของรวมทั้งหมด 60 กว่าชิ้น เป็นเงินจำนวนมหาศาล
แต่เสียใจด้วย….ของทุกชิ้นมีเอกสารในการเสีย Vat ที่ถูกต้อง แม้แต่ ไข่ฟาแบร์เช่ เขาได้เคลมเงินคืนจาก Vat มาได้ถึงหกแสนปอนด์
ส่วนพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวของเขา ได้รับการยกเว้นภาษีตามกฎหมายของอียู…

สรุปว่า Faberge Egg ใบนี้ ไม่ใช่แค่เป็นงานศิลปเครื่องทองเพียงอย่างเดียว แต่มันคือศักดิ์ศรีของช่างทองหลวงเพียงไม่กี่ชิ้นที่ยอมทำให้คนธรรมดาสามัญ (ที่ถือว่าย่อมไม่คู่ควรกับพวก Rothschild ที่บังอาจทำตัวเทียมเจ้า) ประดิษฐานอยู่ที่ พิพิพิธภัณฑ์แอร์มิตาจ ห้อง 302 ตึก General Staff กรุงเซนต์ ปีเตอร์เบอร์ก, รัสเซีย

เห็นมะ…..อย่าว่าแต่ยูเครน….แม้แต่ “ไข่” ปูตินก็ไม่ยอม…!!!



ย้อนกลับไปยัง

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: 1 และ บุคคลทั่วไป 0 ท่าน

cron