5. โลกเข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการหรือยุคชะงักงันทางฆราวาส (จบแล้ว)
ภาพใหญ่ทางการเงินในสายตาของPhilipp Hildebrand รองประธานของBlackRock คืออะไร? Hildebrandมองเห็นสองปัจจัยใหญ่ที่เกื้อหนุนตลาดการเงินโลกในช่วงที่ผ่านมา คือเงินเฟ้อที่ติดลบ (disinflation)และการเจริญเติบโตของจีน แต่ในขณะนี้เราได้เห็นแล้วว่าระยะเวลาที่ค่อนข้างยาวนานของเงินเฟ้อที่ติดลบ (disinflationary period)กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว และประการที่สอง การเจริญเติบโตแบบก้าวกระโดดของจีนในช่วงที่ผ่านมากำลังสิ้นสุดลงเหมือนกัน
ในเมื่อ2ปัจจัยนี้ไม่ได้อยู่กับเราอีกต่อไป การบริหารจัดการต้องมีความยืดหยุ่นหรือมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากประการแรก Janet Yellenประธานธนาคารกลางของสหรัฐได้ชี้ชัดว่าจะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้ ตลาดบอนด์จะได้เห็นดอกเบี้ยขยับขึ้น และไม่ดึงดูดการลงทุนเหมือนในช่วงที่ผ่านมาที่ดอกเบี้ยต่ำ นักลงทุนเหมือนจะได้รับการันตีทางธนาคารกลางว่าจะไม่ขึ้นดอกเบี้ย แต่ตอนนี้Yellenจะเอาจริงแล้ว หลังจากกดดอกเบี้ยที่ระดับ0.25%มาตั้งแต่ปี2009 ส่วนหุ้นขึ้นเอาๆในช่วงดอกเบี้ยต่ำเหมือนกันในสภาพแวดล้อมที่ดอกเบี้ยต่ำ สภาพคล่องสูง มีเบน เบอร์แนงกี้และYellenการันตีไม่ขึ้นดอกเบี้ย ถ้าจะขึ้นจะกระซิบล่วงหน้า โดยใช้ศัพท์หรู forward guidanceเพื่อไม่ให้ตลาดการเงินตกใจหรือเซอร์ไพรซ์
ประการที่สอง ฟองสบู่ตลาดหุ้นจีนได้แตกไปแล้ว มูลค่าหายไป30%และทางการจีนกำลังดำเนินมาตรการทุกอย่างเพื่อไม่ให้ผลกระทบลามไปยังเศรษฐกิจภาคจริง Hildebrandไม่ได้วิพากษ์วิจารย์นโยบายของทางการจีนรุนแรงเหมือนนักวิเคราะห์หรือนักการเงินตะวันตกอื่นๆที่โจมตีว่าทางการจีนดำเนินมาตรการที่ไม่โปร่งใส ให้หุ้นหยุดเทรด รวมทั้งห้ามผู้ถือหุ้นเกิน5%ในบริษัทจดทะเบียนขายหุ้นออกมาในระยะ6เดือนข้างหน้า แต่Hildebrandเห็นใจทางการจีนและยอมรับว่าที่จีนแทรกแซงหนักในตลาดหุ้น ก็ไม่ได้ต่างจากธนาคารกลางของโลกตะวันตกที่แทรกแซงในตลาดไม่น้อยกว่า หรือมากกว่าธนาคารกลางของจีนด้วยซ้ำ
เขากล่าวเพิ่มเติมว่า จีนยังคงเป็นตลาดที่ยังไม่พัฒนาจำต้องใช้เวลาในการพัฒนาต่อไป และการแทรกแซงของทางการเพื่อช่วยตลาดหุ้นจีนในช่วงจังหวะเวลานี้ น่าจะเปิดโอกาสให้ตลาดหุ้นหรือบริษัทจีนมีเวลาหายใจทำการปฏิรูป เพื่อว่าเวลาสถานการณ์กลับคืนสู่ภาวะสงบ ทั้งตลาดหุ้นจีนและบริษัทจีนจะได้ก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
พูดง่ายๆ คนธนาคารกลางเข้าในหรือเห็นอกเห็นใจกัน
ในเดือนตุลมคมปีนี้ เงินหยวนของจีนอาจจะได้รับการบรรจุในตระกร้าเงินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศเคียงคู่กับเงินดอลล่าร์ ปอนด์ ยูโรและเยน จะทำให้บทบาทของหยวนเด่นชัดมากยิ่งขึ้นในระบบการเงินโลก สำหรับเรื่องนี้ Hildebrandมองว่า เป็นเรื่องดีที่หยวนจะมีบทบาทเพิ่มมากขึ้น เพราะว่าจะมีดีมานด์ของพันธบัตรจีนเพิ่ม และจะมีตราสารการเงินอื่นๆตามมา
ทางการจีนได้ประกาศเปิดเสรีการเงินเป็นระยะๆ เพื่อสอดคล้องกับการลอยค่าเงินหยวนให้เป็นเงินสกุลหลักของโลก โดยที่ล่าสุดได้อนุญาตให้ธนาคารกลางประเทศต่างๆสามารถเข้าไปถือพันธบัตรรัฐบาลจีนได้ที่มีขนาด$6ล้านล้านกว่า
ด้วยเหตุความไม่แน่นอนทั้งหมด หรือปัจจัยหลักที่เปลี่ยนไป Hildebrandอธิบายว่า การกลยุทธของลงทุนข้างหน้าจำต้องพิถีพิถันมากยิ่งขึ้น ต้องดูบริษัทรายตัว หรือดูเป็นรายประเทศ ไม่ใช่เหมารวมรายเซ้คเตอร์ หรือดูเป็นกลุ่มประเทศเช่นตลาดอาเซี่ยน หรือตลาดเกิดใหม่อีกต่อไป เพราะว่าท้ายที่สุดแล้ว ตัวผลประกอบการจะเป็นเครื่องวัดหรือตัวตัดสิน
ย้อนกลับไปที่หัวข้อหลักที่Hildebrandพูดต้องแต่ตอนต้น บริษัทใด หรือประเทศใดที่มีการปรับตัว ทำการปฏิรูปเชิงโครงสร้างโดยใช้ไอทีหรือเทคโนโลยี่เข้ามาช่วยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ (productivity) หรือวางรากฐานของการเจริญเติบโตที่ยั่งยืนจะได้ประโยชน์จากการลงทุนเม็ดเงินใหม่ของนักลงทุนที่จะมีความพิถีพิถันมากยิ่งขึ้นในการเลือกการลงทุน
โดยภาพรวม Hildebrandมองว่า เม็กซิโกในอเมริกากลาง จีน และอินเดียในเอเซีย เสปน โปรตุเกสในยุโรปกำลังผ่านการปฏิรูปที่สำคัญที่น่าจะทำให้ประเทศเหล่านี้ยืนหยัดต่อไปได้ดีในเวทีเศรษฐกิจโลก เนื่องจากเจอวิกฤติก่อน จึงจำต้องปฏิรูปผ่านความเจ็บปวดที่จำเป็น เขาไม่ได้แตะประเทศไทยมากนัก อาจจะเป็นเพราะว่าประเทศไทยยังคงต๊อแต๊ะๆอยู่
ขอจบซีรี่ส์สั่้นเกี่ยวกับPhilipp Hildebrandแต่เพียงเท่านี้ นานๆจะเขียนอธิบายเศรษฐกิจและการเงินแนวคิดกระแสหลัก
thanong
22/7/2015
source
https://www.facebook.com/ThanongFanclub ... 82991042:0